อดีต ผอ.รร.ในพื้นที่ยะลา อัดอั้นในใจ เล่าอุทาหรณ์ เจอหมอวินิจฉัยผิด ชีวิตเปลี่ยน ต้องทนทุกข์ทรมาน วิงวอนให้โรงพยาบาล ตรวจสอบการดูแลรักษาผู้ป่วย ลดความเสี่ยงเจ็บ – ตาย

อดีต ผอ.รร.ในพื้นที่ยะลา อัดอั้นในใจ เล่าอุทาหรณ์ เจอหมอวินิจฉัยผิด ชีวิตเปลี่ยน ต้องทนทุกข์ทรมาน วิงวอนให้โรงพยาบาล ตรวจสอบการดูแลรักษาผู้ป่วย ลดความเสี่ยงเจ็บ – ตาย

จากกรณีที่ อดีต ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดยะลา ออกมาพิมพ์ลงในเฟสบุ๊คแสดงความอัดอั้นในใจ “วินิจฉัยผิด ชีวิตเปลี่ยน“ เหตุเกิด ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา นายอารีดิง สาเมาะแม อายุ 41 ปี ที่มีโรคประจำตัว คือ โรคไต (รักษาโดย ล้างไต ทางหน้าท้องแบบทำเองที่บ้าน) เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567 เวลา 21.45 น. โดยประมาณ ผมได้เข้าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา ไปด้วยอาการปวดท้อง พอไปถึงโรงพยาบาล เข้าห้องฉุกเฉิน หมอได้ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย หมอสงสัยเลยส่งไปเอกเรย์ช่องท้อง สักพัก ก็เข้ามาบอกว่า คนไข้ๆ คนไข้ลำไส้ทะลุนะ ต้องผ่าตัดด่วน ผมและภรรยายังไม่แน่ใจเลยถามไปอีกครั้ง ว่าทะลุเลยหรอครับ หมอบอกว่า ใช่ค่ะ ต้องผ่าตัดด่วนนะ แต่ต้องรอให้หมอศัลยกรรมมาดูให้อีกที สักพัก หมอศัลยกรรมก็มาและบอกว่า ลำไส้ทะลุครับ ต้องผ่าตัดด่วน ตอนนี้รอให้ห้องผ่าตัดว่าง ก็เข้าได้เลย หลังจากนั้นเวลาประมาณตี 1 กว่าๆ ผมก็โดนเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดใหญ่ จากนั้นหมอก็ได้ทำการผ่าตัด ผ่านไปสักพักใหญ่ๆหลายชั่วโมง หมอก็ออกมาเรียกว่า ญาติคุณอารีดิงค่ะ ภรรยาผมก็เดินเข้าไปหาหมอ และหมอแจ้งมาว่า หมอได้ทำการผ่าตัดแล้วนะ แต่หมอไม่เห็นรอยทะลุของลำไส้เลย หมอพยายามหารอยที่ทะลุแล้วนะ แต่หาไม่เจอ หมอหาอยู่ตั้งนานก็ไม่เห็น งั้นหมอเย็บปิดแผลก่อนนะ ในวันรุ่งขึ้น หมอมาตรวจและแจ้งให้ผมทราบผลการผ่าตัด หมอบอกว่า ไม่เจอรอยลำไส้ทะลุ ทุกอย่างปกติหมด และหมอยังบอกต่ออีกว่า ตอนนี้การรักษาล้างไต ทางหน้าท้องคงต้องยุติลงไปก่อน เนื่องจากแผลผ่าตัดที่หน้าท้องมีขนาดใหญ่ คงต้องงดการล้างไต ทางหน้าท้องและต้องเปลี่ยนมาเป็นฟอกเลือดแทน ซึ่งเบื้องต้นต้องทำการผ่าตัดทำเส้นฉุกเฉินที่คอไปก่อน(ผ่าตัดรอบ2) เพื่อให้ได้ฟอกเลือด ผ่านไปประมาณ 3 – 4 วัน สายที่หน้าท้องมีความผิดปกติ หมอเลยเอานำไปตรวจ ปรากฎว่า มีการติดเชื้อ หมอเลยให้ยาฆ่าเชื้อและครั้งนี้ผมนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ทั้งหมด 9 วัน หลังจากหมอให้ผมกลับบ้าน ผมก็ยังมีอาการปวดท้องอีก หลังจากนั้น 2 วัน ถึงวันนัดตัดไหม ผมแจ้งให้หมอทราบว่า ผมยังคงมีอาการปวดท้อง หมอเลยส่งไป CT สแกน และหมอแจ้งว่า น่าจะมีการติดเชื้อเพิ่มในช่องท้องบริเวณสายหน้าท้องเดิม ต้องทำการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเอาสายออก(ผ่าตัดครั้งที่ 3 ) ผ่ารอบนี้ก็มีลุ้นอีกเช่นเดิม พยาบาล เรียก ญาติคุณอารีดิงค่ะ ภรรยาผมก็เดินเข้าไป แล้ว หมอแจ้งว่า หมอยังไม่เย็บปีดแผลนะ เพราะในช่องท้องมีการติดเชื้อ และมีหนอง ต้องล้างแผลทุกวัน วันละ2ครั้ง เช้า-เย็น (จะบอกว่าเวลาล้างแผลทรมานสุดๆ แผลสดๆ แดงๆ ที่โดนผ่าช่องท้องแล้วไม่ได้เย็บปิดแผล) ผ่านไป 6 วัน ก็ได้เย็บแผล รอบนี้ผมนอนพักที่โรงพยาบาลอีก 9 วัน การรักษาไต แบบเดิมของผมต้องยุติลง (จากที่ล้างไตทางหน้าท้อง แบบทำเองที่บ้าน แล้วมาพบหมอ 3 เดือน/ครั้ง ต้องเปลี่ยนไปเป็นฟอกเลือด สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ,เดือนละ 8-10ครั้ง และ 24-30ครั้/3 เดือน) และผมต้องหาที่ฟอกไตเอง ซึ่งได้คิวที่ต่างจังหวัด(โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ) เพราะแถวยะลาเต็ม ไม่มีคิวให้ผมเลย ผมต้องเดินทางไปๆมาๆ ซึ่งร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหนื่อยมากๆ จากการตรวจวินิจฉัยที่ผิดพลาดของหมอในครั้งนี้ ทำให้ผมและครอบครัวได้รับผลกระทบทั้งทางด้านร่างกายจิตใจและการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก หลังผ่าตัดในครั้งนี้ อีกไม่กี่วันจะครบเดือน ร่างกายของผมก็ยังไม่เหมือนเดิม จากที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ไปไหนมาไหนได้ ทุกวันนี้กลับไม่มีแรง เหนื่อยง่าย ทำอะไรไม่ได้เลย ยังคงต้องให้ภรรยาและลูกประคองเวลาเข้าห้องน้ำ คงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนที่จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม

ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ผมได้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ทั้งหมดประมาณ 18 วัน ทางโรงพยาบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเยี่ยม 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 หลังผ่าตัดครั้งแรกไป 7 วัน เพิ่งจะมาเยี่ยม ครั้งที่ 2 ก่อนกลับบ้าน(รอบ 2 มามอบกระเช้า ซึ่งก่อนหน้านี้เราขอไปพบผู้บริหารเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับผมและครอบครัว แต่เราก็โดนกีดกั้นไม่ให้พบผู้บริหาร อ้างว่าไม่อยู่บ้าง ติดประชุมบ้าง และบางครั้งมีการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมในการสื่อสาร ซึ่งตอนนี้ทางเราก็ยังไม่ได้คำตอบว่าเลยทางโรงพยาบาลจะช่วยเหลือหรือเยียวยาให้กับผมและครอบครัวที่เกิดจากความผิดพลาดของการให้บริการในครั้งนี้หรือไม่ ทั้งหมดที่ผมเล่ามา ผมอยากให้เป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกคน และผมขอเป็นกระบอกเสียง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่อยากให้มีผู้เสียหายเกิดขึ้นบ่อยๆ ผมวอนขอให้ทางโรงพยาบาล มีการทบทวนกระบวนการทำงาน ปรับปรุงการให้บริการ ให้มีความละเอียดรอบคอบ ให้มากกว่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสื่อสารในครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนที่เข้าไปใช้บริการ ด้วยความเคารพ นายอารีดิง สาเมาะแม

ล่าสุด วันนี้ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวและทีมงาน เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 76/4 หมู่ที่ 9 บ้านลุเป ต.กรงปินัง อ.กรงปืนัง จ.ยะลา ซึ่งเป็นบ้านของ นายอารีดิง สาเมาะแม อายุ 41 ปี อดีต ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา มีโรคประจำตัวเป็นโรคไต (รักษาโดย ล้างไต ทางหน้าท้องแบบทำเองที่บ้าน) ที่ได้รับความเดือนร้อน หลังจากเข้าไปทำการผ่าตัด โดยแพทย์-พยาบาล ที่มีการวินิจฉัยว่าคนไข้ลำไส้รั้ว(ลำไส้ทะลุ)ต้องเข้าผ่าตัดเป็นการด่วน เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จสิ้น แพทย์ออกมาแจ้งว่า ไม่เจอรอยลำไส้ทะลุ ทุกอย่างปกติหมด จนต้องเปลี่ยนการดูแลรักษาโรคไต ต้องมาเปลี่ยนมาเป็นฟอกเลือด และมีอาการติดเชื้อรุนแรง ร่างกายทรุดลง หนักกว่าเดิม ร่างกายไม่มีแรง เหนื่อยง่าย ทำอะไรไม่ได้เลย ต้องมีภรรยาคอยดูแล

นายอารีดิง สาเมาะแม ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ กล่าวว่า ผมได้ไปโรงพยาบาลยะลา ประมาณเวลา 21.00 น. ผมไปด้วยอาการปวดท้อง ผมบอกหมอว่าผมน่าจะเป็นกระเพาะ แต่ในที่นี้หมอบอกว่าทำการ X-ray และก็ทำการซาว์ดในท้องหมอบอกว่าผมลำไส้ทะลุได้ทำการผ่าตัด พอหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้วก็ออกมีเจ้าหน้าที่มีหมอออกมาบอก ขอแสดงความเสียใจด้วยน่ะว่าหมอหาลำไส้ที่ทะลุไม่เจอ ปรากฏว่าลำไส้ผมไม่ได้ทะลุ ที่เห็นทะลุอยู่ในกระเพาะมันคือลม ลมที่อยู่ในกระเพาะ หมอก็เย็บเข้าไปใหม่ และผมก็ได้ออกจากห้องผ่าตัด จากเดิมผมเคยไปล้างท้อง ผมเดิมเป็นคนโรคไต ล้างหน้าท้องด้วยสาย แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถล้างหน้าท้องได้เพราะว่าโดนหมอผ่าตัด ทำให้ผมต้องฝอกไต แต่ฝอกเลือดด้วยการล้างไต ซึ่งต้องทำให้ผมลำบาก ตอนนี้ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรง ต้องหาที่ฝอกเลือด ที่ฝอกเลือดอยู่ที่ปัตตานี จากกรงปีนังไปตรงนู้นก็ไกลเหมือนกัน ซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายเยอะ ผู้อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ลงมาดู มาดูแลและมารับผิดชอบในสิ่งที่เกิด สำหรับคุณหมอผมไม่ได้ว่าอะไร หมอเขาก็ขอโทษในสิ่งที่ผิดพลาดแต่ผมขอจะไปเจอผู้บริหารที่โรงพยาบาลยะลาโดนเจ้าหน้าที่ กัดกั้นไม่ให้ไปเจอ และก็เขาบอกว่าโรงพยาบาลไม่มีเงินที่จะเยียวยา ไม่มีเงินที่จะดูแลถ้าคุณจะฟ้องก็ฟ้อง และไปฟ้องหมอด้วย และจะไปศูนย์ดำรงธรรมก็ไป ไปไม่เป็นไร ไป ศอ.บต.(ศูนย์อำนวยการบิหารชายแดนภาคใต้)ก็ไม่เป็นไรจะไป สสจ.(สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด) ก็ไม่เป็นไร แต่โรงพยาบาลไม่มีเงินที่จะเยียวยา หลังจากกลับบ้านก็ไม่มีการดูแล ปัญหาหลักตอนนี้หาที่ฟอกไตก็ยังไม่มีเลย และฟอกไตต้องฟอกทางคอ ปกติฟอกตรงนี้(ข้อมือ) ยังหาที่ไม่มีหาคิวยังไม่ได้เลย นี้คือความลำบากของผมและครอบครัวผม 4 ปี ผมลาออกจากการทำงานต้องดูแลตัวเอง ซึ่งหลังจากนี้ต้องเป็นภาระของภรรยาผม ภรรยาผมต้องรี่ในการทำงาน เพราะว่าต้องมาดูแลผม เพราะไปทำงาน 3 วันดี 4 วันไข้ ไปบ้างไม่ไปบ้าง เพราะต้องดูแลผม ผมขอวอนให้ผู้หลักผู้ใหญ่ทางโรงพยาบาลและกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลช่วยดูแลคนไข้และก็ต่อไปนี้ ผมขอเป็นอุทาหรณ์และนี้เล่าสู่กันฟังเป็นบทเรียนมันคือประสบการณ์ให้กับผู้บริหารโรงพยาบาลและก็เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ใช้บริการทุกคนวันนี้หวังว่าจะเป็นเคสสุดท้ายสำหรับผมและครอบครัว

อะหมัด/มาวันดี/ยะลา/2 ก.พ.67 /ยะลา/086-2896806

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *