นครพนม-สาวสวนแอปเปิ้ลแฉนายจ้าง บังคับทำงานกลางสงคราม ด้านหนุ่มผักไร้ดินเพิ่งไปไม่ถึงเดือน กลับบ้านไม่ได้เงินติดมือแม้แต่บาทเดียว

นครพนม-สาวสวนแอปเปิ้ลแฉนายจ้าง บังคับทำงานกลางสงคราม ด้านหนุ่มผักไร้ดินเพิ่งไปไม่ถึงเดือน กลับบ้านไม่ได้เงินติดมือแม้แต่บาทเดียว
*****
วันที่ 27 ตุลาคม 2566 ที่ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงาน จังหวัดนครพนม ยังคงมีแรงงานไทยไปรายงานตัวอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในฝั่งปาเลสไตน์ ติดกับฉนวนกาซาตอนใต้ของอิสราเอล และยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงได้ในเร็ววันนี้ โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า คนงานในพื้นที่ของนครพนม เดินทางกลับถึงภูมิลำเนาแล้วกว่า 300 ราย มีตัวเลขยืนยันอย่างเป็นทางการ ว่า ถูกกลุ่มฮามาสจับไปเป็นตัวประกัน 4 คน บาดเจ็บ 1 คน และยังไม่มีรายงานการเสียชีวิต รวมทั้งมีแรงงานจำนวน 7 คน ลงทะเบียนไม่ประสงค์กลับไทย
ในจำนวนผู้เดินทางกลับได้รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่แรงงาน ล่าสุดวันนี้มี น.ส.เอกวรรณ ปราบมีชัย หรือบี อายุ 31 ปี บ้านเลขที่ 53 หมู่ 6 บ้านวังโพธิ์ ต.กุตาไก้ อ.ปลาปาก นำเอกสารมาขอให้ติดตามเงินเดือนงวดสุดท้ายกับนายจ้าง โดยเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ไปอิสราเอลผ่านกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เมื่อปี 2564 เป็นคนงานภาคการเกษตรเมืองโมซาฟ แถบเยซามิเตอร์กิม อาเมโอลล์ ปลูกผลไม้อาทิ มะเขือดำ มะเขือเทศ พริก และ แอปเปิ้ล ได้ค่าแรงชั่วโมงละ 20 เชคเกิลๆละ 30 บาทไทย ถัวเฉลี่ยทำงานวันละ 8-9 ชั่วโมง ใช้เงินสดเป็นค่าเดินทางจำนวน 150,000 บาท ทำอยู่ 6 เดือนก็สามารถปลดหนี้ได้ และกำลังจะเก็บเงินก็เกิดสงครามเสียก่อน ทางบ้านเป็นห่วงจึงให้รายงานขอกลับไทย เพิ่งมาถึงเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา
น.ส.เอกวรรณ ปราบมีชัย หรือบี เล่าต่อว่าวันที่กลุ่มฮามาสบุกภาคพื้นดิน คือเช้าวันที่ 7 ตุลาคม ถือเป็นวันหยุดของคนไทย ขณะนอนอยู่ในแคมป์ได้ยินเสียงยิงจรวดทางอากาศ ถือเป็นเรื่องปกติที่อิสราเอลกับกลุ่มฮามาสยิงใส่กันตลอด แต่มีลูกที่สองตามมาติดๆพร้อมกับเสียงหวอ จึงลุกจากที่นอนเปิดประตูไปดู ก็มีเสียงตะโกนให้หาที่หลบ ตนจึงวิ่งไปหลบกับเพื่อนรวม 34 คนในหลุมบังเกอร์ ส่วนทางภาคพื้นดินกลุ่มฮามาสบุกมาไม่ถึง เพราะโดนทหารอิสราเอลสกัดไว้ แต่ยังคงมีการยิงใส่กันทางอากาศตลอดเวลา
แม้จะมีการสู้รบกัน นายจ้างก็ไม่ยอมให้หยุดงาน สั่งให้คนไทยไปลงสวนทำเกษตร โดยขู่ว่าถ้าใครไม่ยอมไปทำงาน จะจ่ายเงินเดือนช้าลง พวกตนเหมือนถูกมัดมือชก จำเป็นต้องไปทำงานในสวน ท่ามกลางการยิงต่อสู้ เวลามีการยิงกันที ก็ต้องวิ่งหาที่หลบกันวุ่น ทางบ้านเห็นสถานการณ์แล้ว เกรงไม่มีความปลอดภัยจึงขอให้กลับเมืองไทย เมื่อถามว่าเสียดายไหม น.ส.เอกวรรณ หรือบีตอบว่าเสียดายมาก ถ้ามีโอกาสได้กลับไปอิสราเอลอีก ก็จะไปแต่ขอเปลี่ยนนายจ้าง เพราะนอกจากจะกดขี่แล้ว ยังกดค่าแรงไม่เป็นไปตามกฎหมายกำหนด สัญญาจ้างวันละ 30 เชคเกล แต่พวกตน 34 คนกลับได้เพียงชั่วโมงละ 20 เชคเกลเท่านั้น ถือเป็นการเอาเปรียบแรงงานไทย
ขณะเดียวกันได้มีนายวิวัฒน์ชัย ทองศักดิ์ หรือนิค อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24 หมู่ 7 บ้านม่วง ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน หอบเอกสารมาให้ทวงเงินกับนายจ้าง และที่สำคัญนายนิคเพิ่งเดินทางไปทำงานที่อิสราเอล เมื่อวันที่ 21 กันยายนนี้เอง และทำงานยังไม่ทันถึงเดือนด้วยซ้ำ ก็เกิดสงครามยิงกันอุตลุต โดยเล่าว่าอยู่ในสวนเกษตรปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ คือการปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน เรียกอีกอย่างว่าผักไร้ดิน ได้ค่าแรงตามกฎหมายกำหนด ชั่วโมงละ 30 เชคเกล สวนแห่งนี้อยู่ทางภาคกลางตอนล่าง ห่างฉนวนกาซาประมาณ 40 กิโลเมตร ยอมรับว่ามีความปลอดภัยระดับหนึ่ง แม้จะมีการยิงกันไปมา พวกตนก็ยังคงทำงานกัน แต่ทางบ้านห่วงใยจึงให้กลับ รู้สึกเสียดายเพราะกำลังเข้าที่เข้าทาง ถ้าสงครามสงบพร้อมจะกลับไปอิสราเอลอีก ที่สำคัญยังไม่ได้เงินมาชำระหนี้กว่า 150,000 บาท
//ภาพ-ข่าว//พงศ์สุคนธ์ คุณธรรมมงคล//นครพนม (061-2838566)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *