ทีมนักวิจัย ม.อ.ปัตตานี พร้อมภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ติดตามผลแก้ปัญหากระบวนการผลิตสินค้าของกลุ่มผู้ประกอบการข้าวเกรียบดาโต๊ะ หนุนเตาอิฐทนไฟต้มข้าวเกรียบใช้งานได้ 10 กว่าปี คุ้มค่ากว่า

ทีมนักวิจัย ม.อ.ปัตตานี พร้อมภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ติดตามผลแก้ปัญหากระบวนการผลิตสินค้าของกลุ่มผู้ประกอบการข้าวเกรียบดาโต๊ะ หนุนเตาอิฐทนไฟต้มข้าวเกรียบใช้งานได้ 10 กว่าปี คุ้มค่ากว่า

ทีมนักวิจัย ม.อ.ปัตตานี พร้อมภาคีเครือข่ายลงพื้นที่ติดตามผลและแก้ปัญหากระบวนการผลิตข้าวเกรียบ แก่กลุ่มผู้ประกอบการ ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ภายใต้โครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัดปัตตานี ส่งเสริมทักษะอาชีพและการแปรรูปอาหารทะเลตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยมี ผศ.ดร.จรีรัตน์ รวมเจริญ

เป็นหัวหน้าโครงการ ฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการการพัฒนาและยกระดับการจัดการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อขจัดความยากจนและสร้างโอกาสทางสังคม ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) โดยพบว่า ปัญหาในการผลิตเป็นเรื่องของคุณภาพและความคงทนของเตาเผาต้มข้าวเกรียบที่มีระยะการใช้งานที่ไม่คุ้มทุน
ผศ.ดร.ฟารีดา หะยีเย๊ะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.อ.ปัตตานี และนักวิจัยโครงการฯ เปิดใจว่า

โครงการดังกล่าว ดำเนินมาเป็นเฟสที่ 4 แล้ว เป็นระยะ 4 ปี ครั้งนี้เป็นการลงพื้นที่ติดตามผลและแก้ปัญหาให้กลุ่มข้าวเกรียบดาโต๊ะ ถือเป็นต้นกำเนิดข้าวเกรียบในปัตตานี พบว่าปัญหาของอุตสาหกรรมครัวเรือน คือ การใช้อิฐธรรมดาในการก่อสร้างเตาต้มข้าวเกรียบ ทำให้ความทนทานและระยะการใช้งานของเตาเมื่อโดนความร้อนจัดๆ จะมีรอยแตกร้าว


“ผู้ประกอบการต้องซ่อม หรือทุบทิ้งเพื่อสร้างขึ้นใหม่ทุกๆ ระยะเวลา 3-4 ปี เกิดปัญหาเรื่องของความคุ้มทุน การเสียเวลาในการดำเนินการ การหยุดปรับปรุงหลายๆ วัน ทำให้สูญเสียรายได้เป็นเงินจำนวนมาก คณะนักวิจัยจึงได้นำเสนอการแก้ปัญหา โดยให้มีการใช้อิฐทนไฟแทนอิฐธรรมดา ซึ่งจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยเป็นระยะเวลาถึง 10 ปีกว่า ถึงจะมีรอยร้าวหรือต้องมีการทุบสร้างใหม่ ถึงแม้ราคาจะสูงกว่าแบบเดิมหลายเท่า แต่ถ้าเทียบกับความคุ้มทุนและระยะเวลาการใช้งานถือว่าคุ้มกว่าอิฐธรรมดา”


กิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากวิทยาลัยเทคนิค และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สงขลา ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายกับ ม.อ.ปัตตานี ในหลายๆ โครงการที่ผ่านมา ในการออกแบบเตาโดยใช้อิฐทนไฟ ร่วมกับ ทีมวิจัย ของ ม.อ.ปัตตานี และผู้ประกอบการ โดยได้นำองค์ความรู้ด้านวิชาการ มาใช้ร่วมกับทักษะการใช้งานจริงของผู้ประกอบการ เป็นการบูรณาการณ์ร่วมกันอย่างชัดเจน เชื่อว่าจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืนต่อคนในชุมชนอย่างแท้จริง
อ.ชุมพร หนูเมือง หัวหน้าสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและโภชนาการ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.อ.ปัตตานี และนักวิจัยฯ กล่าวว่า ทีมนักวิจัยได้ให้ความรู้ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์โดยใช้วัตถุดิบในพื้นที่ สุขลักษณะที่ดีในการผลิต สถานที่ผลิต อุปกรณ์เครื่องมือ รวมถึงกระบวนการและปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อให้อาหารมีความสะอาดปลอดภัย และการเพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยีที่สูงขึ้น
“ปัญหาทั่วไปที่พบในการผลิตส่วนใหญ่ของผู้ประกอบการในพื้นที่เป็นเรื่องสุขลักษณะ ทีมงาน และการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ พบว่าผลิตภัณฑ์ที่กลุ่มผลิตนั้น ยังมีมูลค่าน้อย หลายกลุ่มไม่ได้มีกระบวนการวางแผนเรื่องต้นทุนและกำไรที่ชัดเจน ทางโครงการฯ จึงได้แนะนำแนวคิดความสามารถในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ซึ่งจากการติดตามผลได้เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติของผู้ประกอบการ รับฟังและเปลี่ยนแนวคิด ตระหนักถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์และมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้กลุ่มมีความเข้มแข็งและความยั่งยืนมากขึ้น ให้ข้อมูลเรื่องความยั่งยืนทุกครั้งที่มีการประชุมร่วมกัน สิ่งที่ทีมวิจัยคาดหวัง คือ การส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ ช่วยขับเคลื่อนกระบวนการทางด้านการตลาดแบบยุคดิจิทัล การใช้เครื่องมืองของเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งต้องเกิดจากการขับเคลื่อนของกลุ่มผู้ประกอบการและคนในชุมชนเอง”
ด้าน นายบูคอรี ตาแกะ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมครัวเรือนผลิตข้าวเกรียบ ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี กล่าวว่า ประชาชนในตำบลแหลมโพธิ์ กว่า 10 ครัวเรือน ประกอบอาชีพผลิตข้าวเกรียบ โดยจำหน่ายตามตลาดทั่วไป และตลาดออนไลน์ อาทิ จ.สุโขทัย จ.ลำพูน และ จ.ลำปาง ตนได้ทำอาชีพผลิตข้าวเกรียบ กว่า 30 ปี โดยเป็นรุ่นที่ 2 สืบทอดมาจากรุ่นพ่อแม่เป็นรุ่นแรก
“ได้เข้าร่วมโครงการ ฯ ในเฟสที่ 4 เป็นการแนะนำของผู้นำในหมู่บ้าน ปัญหาที่พบคือความคงทนและคุ้มทุนของเตาต้มข้าวเกรียบ ที่มีอายุการใช้งานเพียง 3-4 ปี การที่ทีมนักวิจัยและภาคีเครือข่าย เข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเรื่องเตาต้ม ขอขอบคุณทีมนักวิจัย ม.อ.ปัตตานี ที่เข้ามาให้ความรู้ ขั้นตอนผลิตที่ถูกสุขลักษณะ การตลาด การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการแก้ปัญหาต่างๆ ของกลุ่ม เชื่อว่ากลุ่มผู้ประกอบการสามารถนำความรู้ตรงนี้ ต่อยอดและส่งต่อองค์ความรู้ให้กับชาวบ้านในชุมชน กลุ่มที่ด้อยโอกาสกว่าตนได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *