บทความ “ เทคโนโลยีพลิกโฉมชาวนาไทย


“การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต” เคยเป็นความท้าทายใหญ่ของเกษตรกรไทย แต่วันนี้สิ่งเหล่านั้นเริ่มเป็นจริงได้ ด้วยการผสานพลังของนโยบายรัฐและความร่วมมือของเกษตรกรในชุมชน ศูนย์ข้าวชุมชนตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี กลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังสร้างความยั่งยืน และความหวังใหม่ให้กับวิถีชาวนาไทย



กรมการข้าวกับนโยบาย ตลาดนำนวัตกรรม: กรมการข้าวได้กำหนดทิศทางการทำนายุคใหม่ โดยยึดแนวคิด “ตลาดนำนวัตกรรม” เน้นการผลิตข้าวที่ตรงกับความต้องการของตลาด ควบคู่กับการทำนาแบบยั่งยืนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นโยบายสำคัญคือการ ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มรายได้เป็น 3 เท่า ใน 4 ปี ผ่านการนำเครื่องจักรกลการเกษตรและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมดิน การปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการแปรรูป การสนับสนุนดังกล่าวถูกถ่ายทอดไปยัง ศูนย์ข้าวชุมชนกว่า 336 ศูนย์ทั่วประเทศ

ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการข้าว เป้าหมายคือการสร้างเครือข่ายเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง ที่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีได้เองในท้องถิ่น ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก
ศูนย์ข้าวชุมชนตำบลท่ามะขาม: จากทำนาดั้งเดิมสู่การทำนาสมัยใหม่ ในอดีตเกษตรกรตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนุรี ต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนสูง ทั้งด้าน ค่าจ้างแรงงานดำนา ค่าปุ๋ยและสารเคมี รวมถึงประสบปัญหาของสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเข้าร่วมสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกร
ผู้ปลูกข้าวของกรมการข้าว ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งศูนย์ข้าวชุมชนแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองกาญจนบุรี มีสมาชิก 22 ราย ภายใต้การดำเนินงานของ นางสมพิศ เหลืองประมวล ประธานกลุ่มฯ สมาชิกได้ร่วมกันจัดทำแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เช่น กข41 และ ปทุมธานี 1 จากกรมการข้าว ที่สามารถผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว ส่งต่อให้ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวสุพรรณบุรี และศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวราชบุรี ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นไปตามมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีที่เปลี่ยนวิถีชาวนา :การได้รับเครื่องจักรและอุปกรณ์สมัยใหม่ ทำให้การปลูกข้าว และการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ก้าวไปอีกขั้น ศูนย์ข้าวชุมชนท่ามะขาม ได้รับการสนับสนุนเครื่องจักร อุปกรณ์ ได้แก่ รถดำนาแบบนั่งขับ 8 แถว รถแทรกเตอร์พร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วง โดรนการเกษตรขนาด 50 ลิตรพร้อมอุปกรณ์ครบชุด โดรนสำรวจ ระบบปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องชั่งและแพ็คข้าวอัตโนมัติ เครื่องวัดความชื้น และแฮนด์ลิฟต์ลากพาเลท ซึ่งเครื่องจักร อุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นเครื่องมือลดการใช้แรงงาน แต่สามารถสร้างศักยภาพการดำเนินงานได้มากขึ้น เกิดความแม่นยำ และประสิทธิภาพ เช่น การใช้โดรนพ่นปุ๋ยและสารชีวภัณฑ์ ทำให้ลดการสัมผัสสารเคมีของเกษตรกรโดยตรง และยังควบคุมปริมาณการใช้ได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดต้นทุนในระยะยาว
ตัวอย่างผลการดำเนินงานที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ รถดำนา เปลี่ยนจากการจ้างแรงงานดำนาไร่ละ 900 บาท (ไม่รวมค่าต้นกล้า) ให้เหลือเพียงไร่ละ 720 บาท เมื่อใช้รถดำนาของกลุ่ม
ถือเป็นการประหยัดต้นทุนที่จับต้องได้จริง ผลลัพธ์ที่เกินกว่าตัวเลข คือความสำเร็จของโครงการไม่ได้หยุดอยู่ที่การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของเกษตรกร แต่ยังสร้างผลลัพธ์เชิงบวกหลายด้าน ดังนี้
* ด้านเศรษฐกิจ: เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ต้นทุนต่อไร่ลดลง สามารถจัดการการผลิตได้เองโดยไม่ต้องพึ่งแรงงาน
ภายนอกมากนัก
* ด้านสังคม: เกิดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็ง สมาชิกศูนย์ช่วยเหลือและแบ่งปันเครื่องจักรกลร่วมกัน ทำให้ชุมชน
มีความสามัคคีและสามารถต่อรองกับตลาดได้มากขึ้น
* ด้านสิ่งแวดล้อม: การลดใช้สารเคมีและการใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการแปลงนาอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจก และลดผลกระทบต่อสุขภาพเกษตรกรและผู้บริโภค
ก้าวต่อไปของชาวนาไทย : เรื่องราวของศูนย์ข้าวชุมชนตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยศูนย์ทั่วประเทศที่กำลังเดินตามแนวทาง “ทำนาแบบยั่งยืน” ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ กรมการข้าวตั้งเป้าว่า หากทุกศูนย์สามารถปรับตัวได้เช่นนี้ เกษตรกรจะมีต้นทุนที่ลดลง ผลผลิตเพิ่มขึ้น และมีเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ตลาดโลกมากขึ้น
นาไทยไม่ล้าหลัง หากเรากล้าเปลี่ยน ศูนย์ข้าวชุมชนตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี คือ ตัวอย่างที่พิสูจน์แล้วว่า การใช้เครื่องจักรกลและเทคโนโลยีการเกษตร ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือช่วยทุ่นแรง แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่การสร้างรายได้ ความมั่นคง และความยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย การเดินหน้าสู่เกษตรกรรมสมัยใหม่เช่นนี้ คือความหวังใหม่ของวงการข้าวไทย ที่พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาไทยอย่างแท้จริง
Share this content:
